“ทิสโก้” คาดรัฐบาลอัดฉีดเงินเกือบ 3.5 แสนล้านกระตุ้นเศรษฐกิจ

OLYMPUS DIGITAL CAMERA
  • ชี้รัฐบาล “ประยุทธ์ 2 “เร่งอัดฉีดเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ
  • คาดว่าจะเริ่มเห็นเม็ดเงินเข้าสู่ระบบอย่างเร็วที่สุดภายในไตรมาส 4 ปีนี้

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด  เปิดเผยว่า ภายหลังจากคณะรัฐมนตรี “ประยุทธ์2/1’” ได้รับการโปรดเกล้าฯ แล้ว คาดว่านโยบายเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจที่รัฐบาลจะแถลงในช่วงปลายเดือนก.ค. 2562 จะเกี่ยวข้องกับนโยบายหลักของ 3 พรรคร่วมรัฐบาล เช่น การเพิ่มเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ, การดูแลราคาสินค้าเกษตร ได้แก่ ข้าว ยาง ปาล์ม, การลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และการขึ้นค่าแรงงานขั้นต่ำ เป็นต้น รวมทั้งจะดำเนินการเร่งรัดโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ โดยเฉพาะโครงการในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ให้มีความคืบหน้ามากยิ่งขึ้น 

อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าเมื่อรวมทุกนโยบาย จะสามารถคำนวณเป็นเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจประมาณ 350,000 ล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็น 2% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี) โดยปัจจัยที่ต้องติดตามคือรัฐบาลจะสามารถเดินหน้านโยบายได้ทั้งหมดหรือไม่ เพราะอาจมีข้อจำกัดในการขาดดุลงบประมาณ อีกทั้งต้องจับตาว่า รัฐบาลจะสามารถผลักดันโครงการต่างๆ ให้เห็นผลในเชิงประจักษ์ได้มากน้อยแค่ไหน

“หากรัฐบาลเดินหน้านโยบายได้ทั้งหมดจะมีเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจประมาณ350,000 ล้านบาทต่อปี แบ่งเป็น 1. การช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยและโครงการมารดาประชารัฐ 72,000 ล้านบาทต่อปี 2. การดูแลราคาสินค้าเกษตร 100,000 ล้านบาทต่อปี และ 3. การลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 10% สำหรับคนชั้นกลาง 170,000  ล้านบาท แต่ด้วยข้อจำกัดของการขาดดุลงบประมาณภายใต้กฎหมายและการเติบโตของจีดีพี ในปัจจุบัน คาดว่าจะขาดดุลงบประมาณได้ไม่เกิน630,000  – 720,000 ล้านบาทต่อปี จึงทำให้รัฐบาลอาจจะต้องต้องลดทอนนโยบายบางอย่าง หรือหั่นมาตรการที่มีอยู่เดิม”    

อย่างไรก็ตาม  หลังจากการประกาศนโยบายและเริ่มเดินหน้าโครงการต่างๆ แล้ว คาดว่าเม็ดเงินรัฐบาลที่จะอัดฉีดเข้ามาในระบบจะเกิดขึ้นอย่างเร็วที่สุดภายในไตรมาส 4/2562 อย่างไรก็ดี ภายใต้ความไม่แน่นอนของสงครามการค้าสหรัฐฯ กับจีน และแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก บล.ทิสโก้ยังชอบหุ้นอิงเศรษฐกิจในประเทศที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ ทั้งในแง่ของการบริโภค และการลงทุน

 แต่ด้วยดัชนีหุ้นไทยปีนี้ปรับขึ้นมาถึง 11% ซึ่งใกล้เคียงกับเป้าหมายหุ้นไทยในปี 2562 ที่ 1,790 จุดแล้ว ดังนั้น จึงต้องเลือกหุ้นที่ได้ประโยชน์กับการบริโภคในประเทศแต่ราคายังขึ้นช้า และมี Upside ข้างหน้าอยู่ สำหรับหุ้นที่แนะนำเกี่ยวกับการบริโภค ได้แก่ BJC, ROBINS และ AEONTS หุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการลงทุน ได้แก่  AMATA, ROJNA, WHA, EASTW, CK, STEC, SEAFCO และ PYLON  ขณะที่หุ้นขนาดใหญ่คาดจะได้ประโยชน์จากแนวโน้มเงินทุนต่างประเทศไหลเข้า ได้แก่  BBL, INTUCH, MINT และ TU