- หลังทางการจีนผ่อนปรนการเก็บภาษีสหรัฐฯ หลายรายการ
- ขณะที่นักลงทุนคาดเฟด-อีซีบีผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มขึ้น
- ดัชนีราคาผู้บริโภคออกมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาด
เมื่อเวลาประมาณ 21.30 น.ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เคลื่อนไหวอยูที่ 26,961.33 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 51.90 จุด หรือ+0.19% ขณะที่ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส เคลื่อนไหวอยู่ที่ 8,132.81 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 48.66 จุด หรือ +0.60% ส่วนดัชนีเอสแอนด์พี 500 เคลื่อนไหวอยู่ที่ 2,986.92 จุด เพิ่มขึ้น 7.53 จุดหรือ +0.26%
นักลงทุนจับตาการประกาศดัชนีราคาผู้บริโภค ที่จะประกาศในวันพฤหัสนี้ ขณะที่วันนี้ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ประกาศออกมาแล้ว กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนส.ค.เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนก.ค.
โดยเมื่อเมื่อเทียบรายปี ดัชนี PPI เพิ่มขึ้น 1.8% ในเดือนส.ค. หลังจากเพิ่มขึ้น 1.7% ในเดือนก.ค. ทั้งนี้ ดัชนี PPI ได้รับแรงหนุนจากการดีดตัวขึ้นของค่าใช้จ่ายในภาคบริการ แม้ราคาพลังงานดิ่งลง ซึ่งดัชนีราคาผู้ผลิตในเดือน ส.ค.นี้ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า ดัชนี PPI จะทรงตัวในเดือนส.ค.เมื่อเทียบรายเดือน และเพิ่มขึ้น 1.7% เมื่อเทียบรายปี
นอกจากนั้น นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในวันพฤหัสที่ วันที่ 12 ก.ย. และธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในสัปดาห์หน้า โดยคาดการณ์ว่า ECB จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย และประกาศรื้อฟื้นโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) รอบใหม่ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจยูโรโซน ขณะที่ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมนโยบายการเงินในวันที่ 17-18 ก.ย. เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนมีความหวังกับการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน หลังจากที่จีนประกาศยกเว้นการเก็บภาษีนำเข้าสินค้า16 ชนิด ซึ่งรวมถึงกุ้ง เนื้อปลา และยารักษามะเร็งจากสหรัฐฯ ซึ่งเป็นการยกเว้นภาษีครั้งแรก ตั้งแต่มีการทำสงครามการค้าระหว่างกัน โดยการยกเว้นภาษีดังกล่าวจะเริ่มในวันที่ 17 ก.ย.ที่จะถึงนี้ ข
ขณะที่การเจรจาระดับเจ้าหน้าที่ หนังสือพิมพ์เซาธ์ ไชน่า มอร์นิ่ง โพสต์รายงานว่า จีนได้ยื่นข้อเสนอที่จะซื้อสินค้าเกษตรจากสหรัฐเพิ่มขึ้น หากสหรัฐยอมผ่อนคลายข้อจำกัดต่อการซื้อสินค้าของบริษัทหัวเว่ย และเลื่อนการเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 2.5 แสนล้านดอลลาร์ในวันที่ 1 ต.ค. ซึ่งตรงกับสื่อสหรัฐ Politico ซึ่งรายงานเรื่องดังกล่าวเช่นกันในสัปดาห์ที่แล้ว โดยรายงานดังกล่าวบ่งชี้ความคืบหน้าในการคลี่คลายความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน
ขณะเดียวกัน มีรายงานจากดอยซ์แบงก์ โดยนายเดวิด โฟลเกิร์ต-แลนดอ หัวหน้านักวิเคราะห์ของดอยซ์แบงก์ ระบุในรายงานว่า หากสงครามการค้าทวีความรุนแรงขึ้น เศรษฐกิจสหรัฐก็อาจตกอยู่ในภาวะถดถอยโดยเติบโตต่ำกว่า 1.5% ในกลางปีหน้า และอัตราดอกเบี้ยจะร่วงลงสู่ระดับ 0% โดยในรายงานระบุว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยรวม 1.00% ในช่วง 6 เดือนข้างหน้า โดยจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนก.ย., ต.ค., ธ.ค.ปีนี้ และม.ค.ปีหน้า