

“ชไนเดอร์” เผยบริษัทส่วนใหญ่จะตั้งเป้าหมายด้านความยั่งยืน แต่ 57% เป็นเพียงเป้าหมายระยะสั้น ครอบคลุมระยะเวลาแค่ 4 ปีหรือน้อยกว่านั้น
- เหตุผลที่มีการลงทุนด้านความยั่งยืนเพิ่มขึ้น
- เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ
- เพิ่มการรับรู้ของแบรนด์
นายมงคล ตั้งศิริวิช ประธานกลุ่มคลัสเตอร์ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ดูแลประเทศไทย ลาว และเมียนมา เปิดเผยว่า ได้รับแรงสนับสนุนจากการที่บริษัทต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียมีการรับรู้และมีความมุ่งมั่นในการกำหนดเป้าหมายด้านความยั่งยืนกันมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ผลการสำรวจเกี่ยวกับช่องว่างระหว่างความตั้งใจและการดำเนินการ เผยให้เห็นว่ายังมีงานที่ต้องทำอยู่ สิ่งสำคัญสำหรับบริษัทต่างๆ ในเอเชียก็คือ การแปลงแรงบันดาลใจด้านความยั่งยืนให้เป็นการดำเนินการที่จับต้องได้ เพื่อจัดการกับความท้าทายในการดำเนินงานและการนำกลยุทธ์ระยะยาวมาใช้ในการวางแผนเพื่อเดินหน้าจัดการกับความจำเป็นที่เร่งด่วนเพื่อสร้างความยั่งยืน ธุรกิจต่างๆ จะต้องใช้บทบาทความเป็นผู้นำเพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง ร่วมมือกับรัฐบาล และใช้ประโยชน์จากโซลูชั่นนวัตกรรมเพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนมากขึ้นสำหรับภูมิภาคและโลกของเรา
สำหรับประเด็นหลักที่ได้จากการสำรวจ
ระบบนิเวศในปัจจุบันมีลักษณะอย่างไร?
-94% ระบุว่าบริษัทตนได้กำหนดเป้าหมายหรือเป้าประสงค์ในการสร้างความยั่งยืนแล้ว-
-น้อยกว่าครึ่ง (4 ใน 10) ได้ดำเนินการหรือกำลังปฏิบัติตามกลยุทธ์ความยั่งยืนที่ครอบคลุม
-57% ของเป้าหมายเหล่านี้เป็นเป้าหมายระยะสั้น ครอบคลุมระยะเวลาสี่ปีหรือน้อยกว่านั้น
-ผู้นำธุรกิจเกือบ 60% รู้สึกว่าบริษัทและประเทศของตนมองว่าความยั่งยืน “มีความสำคัญระดับสูง”
-54% มีแผนกความยั่งยืนในองค์กรโดยเฉพาะ

เหตุใดบริษัทในเอเชียจึงลงทุนเรื่องความยั่งยืน : ปัจจัยขับเคลื่อน 5 อันดับแรก ที่ทำให้บริษัทในเอเชียแปซิฟิกมุ่งหน้าสู่การสร้างความยั่งยืน คือเพื่อสร้างนวัตกรรมและความสามารถในการแข่งขัน (39%) เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ (37%) จัดการความเสี่ยง (32%) สร้างการรับรู้/ชื่อเสียงของแบรนด์ (31%) และผลประโยชน์ทางการเงิน (31%) เป็นตัวขับเคลื่อน
บริษัทต่างๆ จะเอาชนะอุปสรรคเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร? : อุปสรรคสำคัญอันดับต้นในการลงทุนด้านความยั่งยืนขององค์กร คือ แรงจูงใจไม่มากพอ (47%) ความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบ/นโยบาย (47%) และปัญหาของระบบราชการ (43%) ส่วนบริษัทในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ยกเว้นสิงคโปร์) ค่อนข้างพูดถึงปัญหาของระบบราชการกันมาก และบริษัทในญี่ปุ่นส่วนใหญ่มีแนวโน้มสูงที่เชื่อว่าภาคเอกชนควรลงทุนในความยั่งยืนมากขึ้น คิดเป็น 22% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในระดับภูมิภาคที่ 12% นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มต่ำมากที่จะรายงานถึงอุปสรรคในการลงทุนเหล่านั้น
โซลูชั่น: 94% ของผู้นำธุรกิจยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลเป็นกุญแจสำคัญของกลยุทธ์ความยั่งยืนขององค์กร 92% ยอมรับว่าประสิทธิภาพด้านการใช้พลังงานเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนขององค์กร 4% ยอมรับว่าการมีกลยุทธ์ความยั่งยืน ช่วยดึงดูดและรักษาผู้มีความสามารถเอาไว้ได้
ส่วนใครควรรับผิดชอบ? : ผู้นำธุรกิจมากกว่าครึ่ง (56%) เชื่อว่าภาคเอกชนควรทำหน้าที่เป็นผู้นำในการสร้างความยั่งยืน ตามด้วยรัฐบาลแห่งชาติที่ 52%