ธนาคารกรุงศรีอยุธยาได้ออกเอกสารเผยแพร่เกียวกับทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่า มีมุมมองว่ามีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 30.35-30.75 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ เทียบกับระดับปิดแข็งค่าที่ 30.43 บาทต่อดอลลาร์ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยค่าเงินบาทแข็บค่าสุดตั้งแต่เดือนมิ.ย. 2556 ที่ผ่านมา ขณะที่ตลาดตอบรับสัญญาที่ว่าสงครามการค้าอาตคลี่คตลายลงซึ่งหนุนสกุลเงินในกลุ่มตลาดที่เกิดใหม่
ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นไทย 17,000 ล้านบาท แต่ซื่อสุทธิในตลาดพันธบัตร 9,600 ล้านบาท ส่วนเงินดอลลาร์อ่อนค่าเทียบกับสกุลเงินสำคัญส่วนใหญ่และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นท่ามกลางความหวังเกี่ยวกับการเจรจาระหว่างสหรัฐฯและจีนเพื่แยุติข้อพิพาททางการค้า
ขณะที่ตลาดจะมุ่งความสนใจไปที่การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) วันที่ 17-18 กันยายน ซึ่งคาดว่าจะมีมติลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ช่วง 1.75-2.00% ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจล่าสุดของธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ได้สร้างความไม่พอใจให้แ่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และอาจเพิ่มแรงกดดันต่อเฟดได้บ้าง หลังจากอีซีบี ปรับลดดอกเบี้ยเงินฝากลงมาสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ติดลบ 0.5% จากเดิมติดลย 0.4% และจะเริ่มโครงการเข้าซื้อพันธบัตรขนาด 2 หมื่นล้านยูโรต่อเดือนตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนโดยไม่กำหนดวันสิ้นสุด
อย่างไรก็ดี ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐยับคงบ่งชี้่ถึงทิศทางสดใสกว่ากลุ่มเศรษฐกิจหลักดังนั้น หากเฟดประเมินเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในเชิงบวกกว่าที่นักลงทุนคาดไว้่ เงินดอลลาร์มีโอกาสพลิกกลับมาแข็งค่าได้เช่นกัน นอกจากนี้ ตลาดจะจับตาผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) และธนาคารอังกฤษ (บีโออี) ในวันที่ 19 กันยายนนี้
นอกจากนี้มองว่า เปิดตลาดสัปดาห์นี้ สกุลเงินของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ ซึ่งเป็นผู้นำเข้าย้ำมันดิบ ยังได้รับแรงกดดันจากเหตุโจมตีโรงกลั่นน้ำมันของซาอุดิอาระเบีย ซึ่งลดอุปทานหรือซัพพลายพลังงานโลกและส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบสหรัฐฯ ในตลาดล่วงหน้าพุ่งขึ้นกว่า 15%
อย่างไรก็ตามเชื่อว่าผลกระทบต่อตลาดอัตราแลกเปลี่ยนจากประเด็นดังกล่าวจะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวเท่านั้น ขณะที่การให้น้ัำหนักปัจจัยชี้นำค่าเงินบาทไปที่สัญญาณดอกเบี้ยในระยะถัดไปจากเฟด รวมถึงกระแสข่าวเกี่ยวกับทิศทางการค้าโลกเป็นสำรัญ อย่างไรก็ตามในช่วงนี้ตลาดจะเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นหลังเงินบาทแข็งค่าสุดในรอบกว่า 6 ปี