ความจริงอันเจ็บปวดของสังคมไทย “มหากาพย์คอร์รัปชัน”ไม่มีวันตาย



            “วันก่อนไปติดต่อเขตดอนเมืองขออนุมัติแบบห้องแถว 5 ห้อง เจ้าหน้าที่ขอห้องละ 10,000 บาท” -เจ้าของบริษัทรับเขียนแบบก่อสร้าง

                “หลังจากแม่เสีย จะทำเรื่องโอนที่ดินเป็นชื่อของพ่อ ต้องติดต่อสำนักงานที่ดินอำเภอที่จ.ขอนแก่น มีคนมาขอค่าดำเนินการบอกให้เตรียมเงินใส่ซองยื่นจ่ายให้เจ้าหน้าที่ที่โต๊ะเลย 4,000 บาท” -คนสู้ชีวิตจากจ.ขอนแก่น

            “ผมขายถั่วข้ามเขตไม่ได้ ถ้าไปอีกเขตจะต้องจ่าย 2,500 บาทต่อเดือน ถ้าอยู่เขตนี้ผมจ่าย 500 บาทต่อเดือน แต่ถ้าปล่อยเงินกู้ก็ต้องจ่าย 2,500 บาทต่อเดือนในเขตนี้เหมือนกัน” –คนขายถั่วชาวอินเดียแถวบางบัวทอง

                ถ้าเว้นที่ว่างไว้ให้คุณผู้อ่านมาเติมข้อความที่ตนเองเคยพบเห็นการทุจริตหรือถูกเจ้าหน้าที่เรียกรับผลประโยชน์ ข้อความคงยาวสุดลูกหูลูกตา

                การต่อสู้กับปัญหาคอร์รัปชันในสังคมไทย เป็นเหมือนภาพยนตร์สงครามมหากาพย์ ที่ไม่เคยมีจุดจบหรือวันที่ฝ่ายดีจะชนะ ไม่เคยมีวันที่ชาวบ้านจะมีความหวังที่จะเห็นท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ เพราะเมฆดำยังคงปกคลุมไปทั่วพื้นปฐพี

                นี่คือลิ่มแห่งความเหลื่อมล้ำที่ถูกตอกซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้ระยะห่างในการเข้าถึงความยุติธรรมถ่างออกมากขึ้นไปทุกขณะ คนทำมาหากินถูกสูบเลือดเนื้อที่ตัวเองก็ผอมแห้งแรงน้อยอยู่แล้ว ยิ่งอ่อนแอลงไปอีกจากเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจ

                คนที่ต้องการทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่อาจสู้รบปรบมือกับกลเม็ดแกมโกงของเจ้าหน้าที่ ที่จะมีข้ออ้างทางกฎระเบียบบ้านเมือง หรือกฎตามอำเภอใจของตัวเองจิปาถะมาล้วงเอาเงินจากกระเป๋าคุณแบบไม่มีใบเสร็จหรือไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม(แวต) ขณะที่ชาวบ้านซื้อบะหมี่ซองหนึ่งยังต้องเสียแวต 7%

                สถานการณ์คอร์รัปชั่นในประเทศไทย ตามที่องค์กรความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International)จัดทำรายงานการจัดอันดับจากการสำรวจ 180ประเทศทั่วโลกเมื่อปี 2561ที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ 36 คะแนน จาก 100 คะแนนอยู่ในอันดับที่ 99 ลดลงจากปี 2560 ที่ได้ 37 คะแนน อยู่อันดับที่ 96 ประเทศที่ได้คะแนนสูงสุดคือเดนมาร์ก 88 คะแนน

                “การทุจริตคอร์รัปชันในประเทศไทยเกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้า” คำพูดนี้ไม่ได้เกินเลยจากความเป็นจริง ไม่เชื่อลองหยิบก้อนหินเล็กๆขึ้นมาสักก้อนหนึ่ง หลับตาหมุนตัวแล้วปาไปตรงที่ไหนสักแห่งแบบสุ่ม

                เชื่อว่าตรงนั้นก็หนีไม่พ้นการทุจริต ก้อนหินไปตกบนถนน ก็เห็นกันตำตาว่าการสร้างถนนโกงกินกันจนแทบจะหามาตรฐานความปลอดภัยไม่ได้ วันดีคืนดีโดนน้ำเซาะ ผิวถนนลอกออกมาเป็นแผ่น บางเหมือนแป้งที่ทำข้าวเกรียบปากหม้อ บางแห่งเป็นหลุมเป็นบ่อ ชาวบ้านขับมอเตอร์ไซค์ตกหลุม เสียชีวิตกันไปก็ไม่น้อย

                ก้อนหินไปตกในโรงเรียน อาหารกลางวันเด็กนักเรียนยังไม่ยอมละเว้นทุจริตไว้สักเรื่อง นี่คืออนาคตที่ต้องเติบโตไปเป็นกำลังสำคัญของชาติ ถูกทำบอนไซกันตั้งแต่ระดับประถมศึกษากันเลยทีเดียว

                นี่คือข้อเท็จจริงของสังคม แตะตรงไหนโดนตรงนั้น ส่วนการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันของรัฐบาลส่วนใหญ่ก็มือถือสากปากถือศีลกันทั้งนั้น ฉาบฉวยสร้างภาพว่าเอาจริงเอาจัง แต่ผลในทางปฏิบัติกลับตรงกันข้าม เข้าตำราปากว่าตาขยิบ ไม่เช่นนั้นคะแนนความโปร่งใสของประเทศไทยคงไม่ต่ำตมขนาดนี้

                ด้วยเหตุที่การทุจริตทำกันเป็นปกติตั้งแต่ปลายหางไปจนถึงหัวแถว จนต่อมจิตสำนึก คุณธรรม จริยธรรมไม่ทำงาน แยกผิดชอบชั่วดีไม่ได้ มองการทุจริตเป็นเรื่องที่ไม่ผิดด้วยข้ออ้างเข้าข้างตัวเองสารพัด คนรับกรรมคือชาวบ้านตาดำๆนี่แหละ

                รัฐบาลเทเงินลงไปช่วยคนจนหลักร้อย ส่วนหนึ่งผันไปเป็นกำไรให้นายทุน อีกส่วนคนจนยังต้องจ่ายค่าน้ำร้อนน้ำชาให้เจ้าหน้าที่ ไม่มีก็ต้องไปกู้หนี้ยืมสิน เรียกใต้โต๊ะสินบนครั้งหนึ่ง เป็นหลักพันหลักหมื่น ชาตินี้ก็ไม่มีวันแก้ความเหลื่อมล้ำ แก้ปัญหาความยากจนได้

                คนตัวใหญ่มีอำนาจมากเรียกรับผลประโยชน์จากคนระดับรองลงมา ซื้อขายตำแหน่งกัน คนระดับรองมาเรียกเงินจากเจ้าหน้าที่ระดับล่างอีกต่อหนึ่ง ไม่จ่ายอนาคตไม่รุ่ง เจ้าหน้าที่ระดับล่างก็มากดขี่ขูดเลือดเนื้อกับชาวบ้านที่ไม่มีอำนาจต่อรองอะไร กดหัวให้ยอมจ่ายได้ง่ายที่สุด

จะเห็นความจริงอย่างหนึ่งว่า ท้ายที่สุดแล้วเงินช่วยคนจนก็ย้อนกลับไปอยู่ในมือของคนที่มีอำนาจหัวแถวอยู่ดี นี่คือเรื่องจริงอันเจ็บปวด และวงจรอุบาทว์ของการทุจริตคอร์รัปชันยังคงวนเวียนอยู่เช่นนี้

Cr: ขอบคุณภาพประกอบจากPixabay.com