กรมโรงงาน ปลื้มยอดลงทุนตั้งกิจการ ใหม่และขยายกิจการเพิ่ม

  • 6เดือนแรกปีนี้กลุ่มอาหารแห่ลงทุนเต็มพิกั
  • กลุ่มปิโตรเลียมลุยขยายกิจการมากที่สุ
  • กรอ.เชื่อจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จเรียกเชื่อมั่นลงทุน

นายทองชัย ชวลิตพิเชฐ อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) เปิดเผยว่า ยอดการขออนุญาตประกอบกิจการใหม่ และขยายกิจการโรงงาน6เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-มิ.ย.) มีจำนวนรวมกัน 2,064 โรงงาน ส่งผลให้มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 92,262 คน โดยมีมูลค่าลงทุนอยู่ที่ 195,688 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15%เมื่อเทียบกับ6เดือนแรกของปีที่ผ่านมา โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าลงทุนมากที่สุด 5 อันดับแรก ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์จากปิโตรเลียมมีมูลค่าลงทุนมากที่สุด 38,530 ล้านบาท รองลงมาเป็นกลุ่มอาหาร มูลค่า 28,894.95 ล้านบาท กลุ่มการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ 19,570 ล้านบาท การผลิตยานพาหนะและอุปกรณ์รวมทั้งการซ่อมยานพาหนะและอุปกรณ์ 12,109 ล้านบาท และกลุ่มผลิตภัณฑ์พลาสติก 12,170 ล้านบาท

ทั้งนี้หากพิจารณาเฉพาะการขออนุญาตประกอบกิจการใหม่ในช่วงครึ่งแรกของปีพบว่าเป็นจำนวนโรงงาน 1,659 โรงงาน มีการจ้างคนแรง 45,733 คน มีเงินลงทุน 106,000 ล้านบาท โดยอุตสาหกรรมอาหารลงทุนสูงสุด 19,301 ล้านบาท รองลงมาเป็น ผลิตภัณฑ์จากปิโตรเลียม 16,789 ล้านบาท และการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ 14,213 ล้านบาท ส่วนการขยายกิจการ เพิ่มเติมมีจำนวน 405 โรงงาน มีการจ้างคนงาน 46,537 คน และ เงินลงทุน 89,687 ล้านบาท โดยผลิตภัณฑ์จากปิโตรเลียมมีมูลค่าขยายกิจการสูงสุด 21,741 ล้านบาท รองลงมาเป็น อุตสาหกรรมอาหาร 9,593 ล้านบาท และผลิตภัณฑ์พลาสติก 7,883 ล้านบาท

“การจ้างงานที่พบว่าปรับตัวลดลงส่วนหนึ่งมาจากผู้ประกอบการหันมาพัฒนาศักยภาพแรงงาน และส่วนหนึ่งมีการนำเทคโนโลยีมาใช้ทดแทนแรงงานตามการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีที่ประเทศไทยเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม4.0 โดยอุตสาหกรรมที่ขออนุญาตประกอบกิจการและขยายกิจการโรงงานในครึ่งแรกของปี และมีการจ้างแรงงานมากสุด คือ อุตสาหกรรมอาหารมีการจ้างงาน 19,495 คน รองลงมาเป็นการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ 11,218 คน อุตสาหกรรมเครื่องแต่งกายยกเว้นรองเท้า จ้างงาน 8,029 คนผลิตภัณฑ์ยานพาหนะและอุปกรณ์รวมถึงการซ่อมยานพาหนะและอุปกรณ์ 7,542 คน และผลิตภัณฑ์พลาสติก จ้างงาน7,604 คน

สำหรับแนวโน้มครึ่งหลังของปี นี้ (ก.ค.-ธ.ค.) คาดว่าการลงทุนในการขออนุญาตประกอบกิจการใหม่และขยายกิจการจะมีความคึกคักมากกว่าครึ่งแรกของปีนี้อย่าง แน่นอน เนื่องจากได้อานิสงส์จากการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ที่มีความชัดเจนมากขึ้นทำให้นักลงทุนเกิดความเชื่อมั่นที่จะเข้ามาลงทุน ส่วน ปัญหาสงครามการค้าสหรัฐ-จีน แม้ว่าจะมีท่าทีผ่อนคลายลงแต่ก็ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สร้างความกังวลใจแก่นักลงทุน รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน