- แจงสารพัดปัจจัยเส่ียงแถมน้ำท่วมซ้ำ
- ย้ำลดดอกเบี้ยนโยบายไม่แก้ปมบาทแข็ง
- ขอเป็นหน่ึงในคณะกรรมการร่วมดูแลเศรษฐกิจ
นายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมกกร.ได้ยอมรับอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี)ในปีนี้ มีโอกาสเติบโตต่ำกว่าปัจจุบัน ที่ประเมินไว้ที่ 2.9-3.3% ส่วนหนึ่งมีความกังวลจาก ปัญหาการแข็งค่าของเงินบาท ที่แข็งค่ากว่าค่าเงินสกุลอื่นๆ ในภูมิภาค และมีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่อง จึงอยากให้ภาครัฐ ออกมาตรการเพื่อดูแลการแข็งค่าของเงินบาทโดยเร็วที่สุด เพราะหากปล่อยให้สภาวะการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไป จะส่งผลกระทบต่อส่งออก จากที่คาดการณ์การส่งออกตลอดทั้งปีนี้ ไว้ที่ติดลบ 1% ถึงโต 1% และฉุดอัตราการเติบโตของจีดีพีที่คาดว่าจะเติบโตต่ำกว่าเป้าหมายอยู่แล้ว ให้มีโอกาสลดลงได้อีก
ท้ังนี้ ภาวะเศรษฐกิจไทย ยังอยู่ท่ามกลางความกดดันต่างๆ ทั้งจากภาคต่างประเทศ ซึ่งเป็นผลกระทบมาจากการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโลก สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน และปัญหาการค้าระหว่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ความเสี่ยงจากประเด็นที่อังกฤษจะถอนตัวออกจากสมาชิกสหภาพยุโรป(อียู) รวมทั้งการแข็งค่าของเงินบาทอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อการส่งออกและการท่องเที่ยวของไทย ขณะเดียวกัน การใช้จ่ายภายในประเทศก็ถูกกระทบจากสถานการณ์ภัยแล้ง ฝนทิ้งช่วง ล่าสุดเหตุการณ์น้ำท่วมในหลายจังหวัดในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ดังน้ัน ปัจจัยดังกล่าว จึงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่กกร.ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินผลกระทบประกอบการพิจารณาอีกครั้งในการประชุมรอบถัดไปในเดือนต.ค.นี้ โดยมองว่าการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ลงอีกจาก 1.25% เพื่อหวังจะช่วยชะลอการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติ อาจไม่สามารถตอบโจทย์เรื่องลดแรงกดดันต่อการแข็งค่าเงินบาทได้ทั้งหมด เพราะการแข็งค่าของเงินบาท ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น พื้นฐานเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่ง เห็นได้จากดุลบัญชีเดินสะพัดที่ยังเกินดุล ทำให้มีเงินเข้ามาลงทุนต่อเนื่อง เป็นต้น
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวว่า ขณะนี้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องและแข็งค่า ค่อนข้างมากเทียบกับเดือนก่อนหน้า โดยแข็งค่าขึ้น 14% เมื่อเทียบค่าเงินวอนของประเทศเกาหลี ใต้ และแข็งค่ากว่า 10% เทียบกับค่าเงินหยวนของจีน ขณะที่ค่าเงินดองของเวียดนาม ทรงตัว ที่ประชุมจึงเห็นควร ต้องกลับไปเร่งศึกษาหาข้อมูลที่ชัดเจน ถึงปัญหาและแนวทางแก้ปัญหาเพื่อรีบนำกลับมาเสนอรัฐบาล และธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) พิจารณาเพิ่มเติมเกี่ยวกับมาตรการผ่อนคลาย การแข็งค่าของเงินบาท ซึ่งไม่เพียงแต่จะแก้ปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น แต่ต้องเตรียมรับมือกับธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ที่ส่งสัญญาณจะมีการลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีกในครั้งถัดไป
“เราอาจใช้จังหวะที่เงินบาทแข็งค่านี้สนับสนุนให้มีการออกไปลงทุนในต่างประเทศให้มากขึ้นด้วย รวมถึงการออกพันธบัตรที่ต้องทำโดยเร็ว อีกทั้งในส่วนของการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมเพื่อดูแลด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะนโยบายด้านการเงิน ซึ่งประกอบด้วยองค์กรอิสสระต่างๆ อาทิ ธปท. สำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) กระทรวงการคลัง เป็นต้น ที่ภาครัฐมีแนวทางในการจัดตั้งนั้น ในส่วนของ กกร. มีความเห็นว่าควรจะดึงภาคเอกชนเข้าไปมีส่วนร่วม เพื่อเสนอในมุมมองของภาคเอกชนด้วย”